Select Product By Category

Populate the sidearea with useful widgets. It’s simple to add images, categories, latest post, social media icon links, tag clouds, and more.
admin@cpe.co.th
Phone: 0-2675-9411 FAX: (02) 675-9674

August 2016

ผมเห็นทะเลและนั่งเรือครั้งแรกในชีวิตก็ตอนอายุ 11 ขวบ ผมนั่งเรือขนส่งลำใหญ่จากไทยไปซัวเถา เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นทะเล คนจำนวนมากเมาเรือ แต่ผมไม่รู้สึกเมาเรือเลย หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เรือก็เดินทางถึงบ้านเกิดของคุณพ่อที่ซัวเถา บ้านเกิดของคุณพ่ออยู่ที่หมู่บ้านเผิงจง อำเภอเถ่งไฮ่ ปัจจุบันอยู่ในการปกครองของเมืองซัวเถา คุณพ่อมีบ้านอยู่ที่นั่น ซัวเถาเป็นเมืองท่าเรือการค้า แบบของอาคารบ้านเรือนเป็นตึกแถวที่ติดถนนมีระเบียงแบบ “อาเขต” ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอาคารแบบตะวันตก คือ ถ้าเป็นอาคารสองชั้นจะทำเป็นกึ่งร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย ชั้นล่างของอาคารจะมีหลังคายื่นออกมาติดต่อเนื่องกันเป็นระยะๆ เพื่อให้มีทางเท้าที่ขนานไปกับถนน ทั้งยังเป็นทางเดินที่มีที่ช่วยบังแดด บังฝนให้คนเดินเท้าอีกด้วย อาคารแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ของซัวเถา ผมอาศัยบนชั้น 3 ของอาคาร ตอนนี้อาคารนั้นก็ยังอยู่ แต่ไม่มีคนอาศัยแล้ว สมัยนั้นคุณพ่อของผมมักไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่จะไปอยู่ที่สวน ตอนที่ผมอยู่ซัวเถา ไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารเลย เพราะตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ผมใช้ภาษาแต้จิ๋วสื่อสารกับคุณแม่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของผมในเรื่องการสื่อสารอยู่ที่ตัวอักษรจีน ตอนผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมได้เรียนภาษาจีนที่โรงเรียนแรกได้เพียง 1 ปี หลังจากนั้นพอย้ายมาเรียนที่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัยก็ไม่ได้เรียนภาษาจีน อีก เพราะที่โรงเรียนสอนแต่ภาษาไทย ผมเข้าไปเรียนชั้น ป.4 ที่ซัวเถา ต้องเริ่มเรียนภาษาจีนใหม่ ในสมัยนั้น นักเรียนที่อยู่ในชั้นเดียวกันมีอายุต่างกันมาก สาเหตุเพราะเมื่อเกิดการก่อตั้งชาติจีนใหม่ คนที่ไม่เคยได้เรียนหนังสือแต่มีอายุมากแล้ว ก็มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกครั้ง ประกอบกับมีลูกหลานชาวจีนอีกจำนวนไม่น้อยที่ได้กลับมาเรียนที่ซัวเถา เด็กๆ เลยถูกมาเรียนรวมกัน ตอนนั้นผมก็ถือว่าอายุมากในชั้นเรียนเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ใช่เด็กโตสุด เพื่อนร่วมชั้นบางคนอายุมากกว่า 15 ปี ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ล้อ จึงตั้งใจเรียนภาษาจีนโดยซื้อพจนานุกรมภาษาแต้จิ๋วมาจากร้านขายหนังสือ และขอยืมหนังสือเรียนของเพื่อน ป.1 และ...

Read More

ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วันหนึ่งจะได้มาเป็นนักธุรกิจ ตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น ผมฝันอยากจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ผมหลงใหลหนังฮ่องกง ผมชอบดูหนังแอ๊คชั่น ผมเคยลองเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย และยังเคยแสดงละครที่ตัวเองเขียนบทขึ้นให้คุณครูและเพื่อนๆ ได้ชม นอกจากนี้ผมยังชอบมายากล สมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ ผมดูการแสดงมายากลครั้งแรกที่โรงละคร ผมขอให้นักมายากลสอนผมเล่นมายากลบ้าง พอกลับมาบ้านผมก็ฝึกเล่นมายากลเอง จนสามารถเสกนกพิราบออกจากกล่องได้ และยังเสกข้าวสารออกจากกระป๋องเปล่าได้ด้วย โรงเรียนแห่งแรกที่ผมเข้าเรียนคือชั้นอนุบาลโรงเรียนจีนที่เปิดสอนใน กรุงเทพฯ การเรียนการสอนใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ส่วนภาษาจีนสอนวันละ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำในจังหวัดราชบุรี สิ่งแวดล้อมที่นั่นเหมาะสมกับการเรียนเป็นอย่างมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องจากบ้าน ต้องดูแลรับผิดชอบเกือบทุกสิ่งด้วยตนเอง เพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย บางคนมาไกลจากมาเลเซีย เพื่อนๆ จำนวนมากเป็นลูกหลานชาวจีน แต่ที่โรงเรียนไม่มีการสอนภาษาจีน สอนแต่ภาษาไทย ทำให้การเรียนภาษาจีนของผมขาดช่วงไประยะหนึ่ง ภายหลังเมื่อต้องเรียนภาษาจีนอีกครั้ง ผมจึงลำบากไม่น้อย ชั่วโมงสันทนาการที่โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกาย และจะมีการสอนชกมวยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เวลาเพื่อนๆ ในชั้นเรียนทะเลาะกัน บางครั้งก็ใช้มวยมาตัดสิน ผมชอบเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 9 ขวบ ผมเริ่มเลี้ยงไก่ชนกับนกพิราบ แต่เพราะผมเรียนในโรงเรียนประจำ จึงไม่อนุญาตให้นักเรียนเลี้ยงสัตว์ ผมจึงนำไก่ชนและนกพิราบไปฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านของอาจารย์ ปัจจุบันผมก็ยังคงชอบไก่ชน ถ้ามีเวลาว่าง ผมก็มักจะไปดูการชนไก่เสมอๆ ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา คุณพ่อติดอยู่ที่มาเลเซีย หลังจากสงครามยุติลง จึงได้กลับประเทศไทย คุณพ่ออยู่ที่ไทยได้ไม่นานก็ไปซัวเถา นอกจากคุณพ่อจะเปิดร้านเจียไต๋จึงที่กรุงเทพฯ แล้ว ยังเปิดร้านกวงไต๋ในซัวเถาอีกด้วย ร้านกวงไต๋ที่ซัวเถาส่งออกเมล็ดพันธุ์ ซึ่งคุณพ่อตั้งใจคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ซัวเถาเป็นอย่างดี เดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถอยทัพกลับ ภายหลังจีนก็เกิดสงครามในประเทศซึ่งลุกลามขยายเป็นวงกว้าง...

Read More

แม้ว่าคุณพ่อจะเปิด “ร้านเจียไต๋จึง” ที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซัวเถาตั้งแต่สมัยเริ่มทำธุรกิจในเมืองจีน เมล็ดพันธุ์ที่เราพัฒนาที่ซัวเถา จะส่งผ่านฮ่องกง แล้วเข้ามาประเทศไทย และส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ รวมทั้งประเทศอินเดียด้วย เมล็ดพันธุ์ที่คุณพ่อขายสามารถปลูกได้ในประเทศเขตร้อนทุกประเทศ เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้นในเดือนธันวาคม ปีพ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ตัดขาดเส้นทางการเดินเรือจากไทยไปจีน ถึงกระนั้นคุณพ่อก็ไม่ได้นิ่งเฉย แต่ย้ายไปอยู่ที่สาขาย่อยในมาเลเซีย แต่คาดไม่ถึงว่ามาเลเซียก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครอง คุณพ่อจึงออกจากประเทศมาเลเซียไม่ได้ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง คุณพ่อจึงได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง ในช่วงนั้นท่านประธานจรัญและท่านประธานมนตรีเรียนอยู่ที่มณฑลเสฉวน ทั้งสองท่านก็ไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศจีนได้เช่นกัน ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย รัฐบาลไทยได้ลงนามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ไทยจึงรอดพ้นจากภัยสงครามมาได้ ช่วงสมัยสงครามนี้เอง คุณอาของผมได้เข้ามาช่วยดูแลร้านแทนคุณพ่อ ด้วยคุณพ่อไม่ค่อยได้อยู่ที่ประเทศไทย ชีวิตในวัยเด็กของผมจึงมีความผูกพันกับคุณแม่เป็นอย่างมาก คุณแม่เป็นคนจิตใจอ่อนโยน คิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ จะเห็นได้จากเมื่อถึงเวลากินข้าว คุณแม่มักจะพูดกับคนงานในบ้านว่า “พวกเธอเตรียมกับข้าวเสร็จแล้ว ฉันก็หิวแล้ว พวกเธอก็คงหิวเช่นกัน งานตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกเธอก็ไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่ยังคงวนเวียนอยู่ที่ข้างหูผมเสมอมา คุณตาของผมก็เป็นคนแต้จิ๋ว ครอบครัวของท่านทำการค้าใหญ่มาก แต่ภายหลังโชคร้าย ครอบครัวของคุณตาประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้คนในครอบครัวต้องระหกระเหินกันไปคนละทาง ในสมัยนั้นคุณแม่ยังเป็นเด็ก เมืองแต้จิ๋วเกิดภัยธรรมชาติทางทะเลครั้งใหญ่ มีคนตายจำนวนนับไม่ถ้วน บ้านของคุณแม่ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทะเล ถูกพายุพัดจนไม่เหลืออะไรเลย คุณยายเสียชีวิต คนในครอบครัวล้มหายตายจาก พี่น้องของแม่ แม้ว่าจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็จำเป็นต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เพราะที่บ้านถูกพายุทำลายจนไม่เหลือสมบัติอะไร ส่วนคุณตาก็ย้ายมากรุงเทพฯ อาจจะด้วยเหตุผลนี้เอง คุณแม่จึงมีอุปนิสัยใจคอที่อ่อนโยน เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และชอบช่วยเหลือคนที่ลำบากอยู่เสมอ คุณแม่ดูแลญาติพี่น้องเป็นอย่างดี ทุกสัปดาห์คุณแม่ต้องไปเยี่ยมญาติ และให้เงินพวกเขาอยู่เสมอ เงินของคุณแม่ส่วนใหญ่นำไปช่วยเหลือคนที่ลำบากทั้งสิ้น คุณแม่มักจะพูดกับคนรอบข้างเสมอว่า “เงินนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือลูกๆ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของแม่” เมื่อ...

Read More

ผมเกิดในปีพ.ศ. 2482 ในย่านเยาวราช ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่สายหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันถนนสายนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปแล้ว คุณพ่อของผมเปิด “ร้านเจียไต๋จึง” บริเวณใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ร้านอยู่ห่างจากท่าเรือแค่ประมาณ 200 เมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงเป็นเส้นทางเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ พ่อค้าและชาวนาต่างก็นั่งเรือสัญจรไปมา ข้างๆ ท่าเรือมีตลาดแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาขาย เป็นตลาดที่คึกคัก พอเกษตรกรขายของเสร็จ ก็จะมาซื้อเมล็ดพันธุ์จากร้านเจียไต๋กลับไปเพาะปลูก คุณพ่อของผมแต่งงานตั้งแต่ครั้งที่อยู่เมืองแต้จิ๋ว หลังจากที่กิจการเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว คุณพ่อจึงรับคุณแม่มาอยู่ที่เมืองไทยด้วย คุณพ่อเปิดสำนักงานใหญ่บนถนนฝั่งตรงข้ามกับร้านเจียไต๋ โดยชั้น 1 เป็นสำนักงานและที่เก็บของ ชั้น 2 และชั้น 3 เป็นที่พักอาศัย ส่วนชั้นดาดฟ้าเอาไว้ตากเมล็ดพันธุ์ ผมเกิดบนชั้น 3 ของบ้าน ท่านชนม์เจริญและครอบครัวอาศัยอยู่บนชั้น 2 สมัยนั้นที่บ้านไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งที่สำนักงานเลย จะอนุญาตให้ผมเล่นที่หลังบ้านอย่างเดียว ผมจำได้ว่าที่ชั้น 1 มีกระป๋องที่เอาไว้ใส่เมล็ดพันธุ์เต็มไปหมด เมล็ดพันธุ์นี้ดูแลรักษาค่อนข้างยาก แห้งไปก็ไม่ได้ ชื้นไปก็ไม่ดี ดังนั้นการบรรจุลงกระป๋องอย่างมิดชิด จึงเป็นการรักษาคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ไว้อย่างดี ที่สำนักงานมีพนักงาน 3 คน หนึ่งในนั้นคือมิสเตอร์ Alexander Campbell ซึ่งเป็นลูกจ้างชาวอังกฤษ มีหน้าที่แปลเอกสารภาษาต่างประเทศต่างๆ และเขียนจดหมายธุรกิจที่เป็นภาษาต่างประเทศ เขามีห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าห้องทำงานของคุณพ่อเสียอีก ในห้องของมิสเตอร์ Alexander Campbell ยังมีห้องรับแขกแยกต่างหาก นอกจากนี้ก็ยังมีพนักงานคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้อีกด้วย ปัจจุบันบรรยากาศบริเวณร้านเจียไต๋จึงยังคงเหมือนกับสมัยที่ผมยังเป็น เด็ก บริษัทเจียไต๋ในปัจจุบันยังคงขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง สถานที่ที่ผมเกิด ได้กลายเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่...

Read More

คุณพ่อของผมชอบของใหม่ๆ หลังจากที่ท่านเปิด “ร้านเจียไต๋จึง” แล้ว ท่านได้เริ่มใช้ตราเรือบิน (เครื่องบิน) แม้ว่าเมล็ดพันธุ์และเครื่องบินจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย แต่คุณพ่อบอกว่า “เรือบิน (เครื่องบิน) เป็นสัญลักษณ์ของเทคโนโลยี และแสดงถึงความทันสมัย” จึงได้ประทับตราเรือบินลงบนบรรจุภัณฑ์ของทางร้าน สมัยนั้นร้านเจียไต๋ขายเมล็ดพันธุ์ผักกาดขาว ผักกาดเขียว หัวผักกาด โดยบรรจุใส่ถุงเล็กๆ ซึ่งเป็นถุงกระดาษที่พิมพ์สี แม้ว่าจะมีคนคิดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม เพราะเป็นสินค้าที่ขายให้แค่เกษตรกร แต่คุณพ่อท่านไม่คิดเช่นนั้น นอกจากนี้บนถุงกระดาษยังได้พิมพ์วันหมดอายุของเมล็ดพันธุ์ไว้อีกด้วย ถ้าหากซื้อไปแล้ว สินค้าหมดอายุ ลูกค้าสามารถนำมาเปลี่ยนใหม่ได้ วิธีการขายสินค้าแบบนี้ เราจะไม่ได้พบเห็นมากนักในสมัยนั้น คุณพ่อพูดกับผมเสมอว่า “งานปลูกผักเป็นงานที่หนัก ชาวสวนต้องรดน้ำทุกวัน ถ้าเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกลงไปไม่ขึ้น ชาวสวนก็ขาดทุนย่อยยับ ดังนั้นเราต้องไม่ทำให้ลูกค้าขาดทุน” แม้ว่าคุณพ่อจะไม่ได้มีการศึกษาสูง แต่กลับมีความสามารถในการสังเกตแบบนักวิทยาศาสตร์ ท่านพบว่าคนกรุงเทพฯ ในสมัยก่อนนิยมเลี้ยงไก่บนชั้นดาดฟ้าของบ้าน แต่ไก่ที่เลี้ยงจะไม่ค่อยออกไข่ คุณพ่อสังเกตว่าไก่พวกนั้นกินแต่หนอนกับหญ้า คุณพ่อคิดว่าไก่พวกนั้นอาจจะขาดสารอาหาร จึงนำปลาป่นมาผสมกับรำข้าว ทำเป็นอาหารให้ไก่กิน นอกจากนี้ยังให้ไก่กินผักและเปลือกหอยบดเพิ่ม คุณพ่อไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการและสารอาหาร ท่านไม่รู้จักโปรตีน ไม่รู้จักแคลเซียม แต่เพราะท่านเป็นคนช่างสังเกต จึงทดลองทำอาหารสัตว์ ปรากฏว่าไก่ที่เคยไม่ออกไข่ หลังจากที่กินอาหารที่คุณพ่อผสม ก็เริ่มออกไข่ทุกวัน คุณพ่อของผมยังชอบพัฒนาและปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ผัก ท่านมีสวนผักที่เมืองแต้จิ๋วและเมืองไทย โดยท่านจะเลือกเฉพาะพันธุ์ผักที่ดี เพื่อมาขยายพันธุ์ต่อ จะเห็นได้ว่าความรู้ที่คุณพ่อมี ไม่ได้เป็นความรู้จากการเรียนในโรงเรียนเลย แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์เป็นหลัก      ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้มีบุคลิกเหมือนคุณพ่อ ตรงที่เป็นคนชอบศึกษาสิ่งแปลกใหม่และมีความสามารถในการสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว คุณพ่อของผมให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและให้ความสำคัญกับลูกค้า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่กิจการค้าเมล็ดพันธุ์ผักเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อกิจการเติบโตขึ้น คุณพ่อจึงให้ท่านชนม์เจริญ ซึ่งเป็นคุณอาคนที่ 3 ของผมมาช่วยกิจการที่ร้าน คุณพ่อให้ความสำคัญกับคุณภาพของเมล็ดพันธุ์มากที่สุด ท่านจะรับเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาขายเท่านั้น...

Read More

บ้านเกิดคุณพ่อของผมอยู่ที่อำเภอเถ่งไฮ่ เมืองแต้จิ๋ว ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองกวางตุ้ง ทางใต้ของเมืองแต้จิ๋ว อยู่ติดกับท่าเรือเมืองซัวเถา เมืองแต้จิ๋วกับเมืองซัวเถา เรียกรวมกันว่า “แต้ซัว” ปัจจุบันอำเภอเถ่งไห่อยู่ในการปกครองของเมืองซัวเถา เดิมทีครอบครัวของคุณพ่อเป็นเจ้าของที่ดิน คุณปู่ของผมก็เป็นเจ้าของที่ดิน รายได้ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมาจากการเก็บค่าเช่าที่ดินเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เป็นรายได้ที่เพียงพอ คุณปู่ไม่จำเป็นต้องไปทำงานอื่นอีก คุณพ่อของผมเกิดปีพ.ศ. 2439 มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน คุณพ่อของผมเป็นลูกชายคนโต คุณพ่อมีน้องชาย 2 คน และน้องสาวอีก 2 คน ในบรรดาน้องๆ ของคุณพ่อ น้องชายคนที่ 3 คือ ท่านชนม์เจริญ (ชื่อจีน เซี่ย เส้าเฟย) ซึ่งเป็นคุณอาคนที่ 3 ของผม ภายหลังคุณอาท่านนี้เป็นมือขวาของคุณพ่อในการทำธุรกิจ ส่วนคุณปู่ของผม ท่านเสียชีวิตตั้งแต่อายุได้ 30 ปี ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อของผมเพิ่งจะมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตไป ภาระทางบ้านทั้งหมดจึงตกอยู่ที่คุณพ่อของผม ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว คุณอาคนที่ 2 ของผมเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง คุณพ่อของผมจึงตัดสินใจให้คุณอาคนที่ 2 ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ซึ่งในสมัยนั้นเมืองแต้จิ๋วยังไม่มีมหาวิทยาลัย คุณอาจึงต้องไปเรียนที่มณฑลเสฉวน ค่าใช้จ่ายในการส่งคุณอาไปเรียนคิดเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นคุณพ่อและคุณอาคนที่ 3 จึงต้องเริ่มทำการค้าขายตั้งแต่วัยเยาว์ แต้ซัวเป็นสถานที่ที่มีการค้าเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ คนที่เกิดที่นั่นเรียกตนเองว่าคนซัวเถา สมัยนั้นซัวเถายังรายล้อมไปด้วยภูเขา ถนนหนทางก็เดินทางไม่สะดวก ถ้าต้องการออกไปหาลู่ทางทำมาหากินภายนอก การเดินทางด้วยเรือเป็นทางเดียวที่สะดวกที่สุด การค้าขายระหว่างแต้ซัวและญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง...

Read More

ผมชื่อธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP (ซีพี) ย่อมาจาก Charoen Pokphand ซึ่งแปลเป็นภาษาจีนว่า “ผู่เฟิง” ซีพี เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลัก 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (ร้านสะดวกซื้อ) และกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม คุณพ่อของผมเป็นผู้ก่อตั้ง “ร้านเจียไต๋” ผมเป็นผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ รุ่นที่ 3 เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี มียอดขายทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 45,000 ล้านดอลล่าร์ (ข้อมูล ณ ปี พ.ศ. 2558) กิจการในเครือฯ กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ของทวีปเอเชีย เช่น ประเทศจีน และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกา มีพนักงานทั้งสิ้นกว่า 300,000 คน เครือฯ เข้าไปลงทุนใน 16 ประเทศทั่วโลก และผลิตสินค้าส่งออกไปยังประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ กล่าวได้ว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือบริษัทข้ามชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับชาวญี่ปุ่นหลายท่านๆ ที่ได้อ่านคำบรรยายข้างต้น ยังอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ซีพี คือบริษัทอะไร แต่หากนึกถึงชั้นวางอาหารสำเร็จรูปในร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่น จะเห็นว่ามีสินค้าของซีพี อยู่ทั่วไป...

Read More